Design for Capacity vs CCI
โพสต์นี้จะมาเล่า “Design for Capacity” คืออะไร จะเพิ่ม capacity ยังไง และสิ่งที่ควรระวังถ้าเราพิจารณาติด AP เพิ่ม

โพสต์นี้จะมาเล่า “Design for Capacity” คืออะไร จะเพิ่ม capacity ยังไง และสิ่งที่ควรระวังถ้าเราพิจารณาติด AP เพิ่ม
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า Design โดยอิง Capacity ต่างจาก Design for Coverage ยังไง
“Design for Coverage” คือการดีไซน์โดยอิงจากความเข้มข้นของสัญญาณ เช่นโรงแรมเชนต่างประเทศหลายแห่งบังคับ RSSI ขั้นต่ำที่ -65dBm ในพื้นที่แขก เช่น lobby ห้องประชุม ห้องอาหาร และห้องแขก การดีไซน์วิธีนี้เราใช้กันมาตั้งแต่ Wi-Fi ยุคแรก ๆ และทุกวันนี้ก็ยังใช้กันอยู่เพราะมี requirement ที่ชัดเจน
แต่ปัญหาของ "Design for Coverage" คือเป็นการดีไซน์มิติเดียวโดยวัดจากค่า RSSI ทุกคนคงทราบดีว่าการที่มีสัญญาณแรงอย่างเดียวไม่การันตีการใช้งานที่ดี เพราะบนเทคโนโลยี Wi-Fi มีเพียงอุปกรณ์ตัวเดียวที่สามารถส่งสัญญาณได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในช่องสัญญาณนั้น ๆ ฉะนั้นจำนวน client และ bandwidth ที่ใช้ใน channel มีผลกระทบโดยตรงกับ user experience ร่วมไม่ว่าสัญญาณ (RSSI) จะแรงแค่ไหน
และนี่เป็นจุดกำเนิดของ "Design for Capacity" ซึ่งเป็นการดีไซน์โดนพิจารณาจากหลายมุม ทั้งชนิดและจำนวน client และ application / bandwidth ที่ใช้ ซึ่งตอบโจทย์การใช้งานจริง
กลับมาดูตัวอย่างโรงแรม สมมุติว่าเราติด AP ตัวนึง ตรง lobby แล้วทำ heatmap เก็บสัญญาณได้ RSSI ที่ -60dBm ในมุมของ Coverage UAT ถือว่าสอบผ่าน แต่ Lobby โรงแรมโดยปกติจะเป็นโซนที่แขกชอบมานั่งเล่นเน็ตอยู่แล้ว แขกมานั่งรอระหว่าทำความสะอาดห้อง หรือรอไปสนามบินหลัง checkout แขกบางคนนัดลูกค้ามา present งาน บางคนนั่งประชุมผ่าน Teams บางคนดู YouTube บางคนโหลด bit ฉะนั้นจำนวน user ที่สูงสอดคล้องกับการใช้ bandwidth เป็นสาเหตุที่เน็ตจะช้า ฉะนั้นถึงแม้ว่าในมุม Coverage เราผ่านฉลุย แต่ Capacity เราสอบตก
แนวทางในการแก้ปัญหาด้าน Capacity มีอยู่ 2 วีธีคือการเพิ่ม Channel Width และ/หรือเพิ่ม Channel ใหม่เช่นอาจจะใช้เปิด 5GHz กับ 6GHz หรือติด AP เพิ่มเพื่อแบ่งโหลดของ client และลด channel utilization ประมาณเราขับรถบนทางด่วนเลนเดียว เวลาเลิกงานมีจำนวนรถบนถนนเยอะแย่งกันใช้ถนน เราแก้ปัญหาโดยการเปิดถนนอีกเลน (เพิ่ม channel width) หรือเปิดทางด่วนอีกเส้นที่ขนานกัน (เพิ่ม channel ใหม่อย่าง 6GHz) เพื่อระบายรถให้เร็วขึ้น ลดเวลาที่รถแต่ละคันต้องอยู่บนถนนเพื่อให้รถคันอื่น ๆ สามารถใช้ถนนเส้นเดียวกันนี้ได้
กลับมาในตัวอย่างของโรงแรม Lobby เราจัดเป็น high-density area หรือพื้นที่ที่มีการใช้งานหนาแน่น ฉะนั้นเราควรจะมี AP มากกว่า 1 ตัวหรือเปิด 6GHz ถ้า AP นั้นรองรับ แต่อย่าลืมว่า client ส่วนใหญ่ยังไม่รองรับ 6GHz วิธีนี้อาจจะไม่ช่วยเท่าไหร่ ฉะนั้นการเพิ่ม AP น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
อ่านดูเผิน ๆ เหมือนแค่เพิ่ม AP ก็แก้ปัญหา Capacity ได้แล้ว แต่ตรงนี้คือจุดที่หลายคนโดนสับขาหลอก เข้าใจผิดว่าการ design by capacity คือการถม AP เข้าไปเยอะ ๆ แต่จริง ๆ แล้วถ้าทำแบบนี้นอกจากจะเสียเงินซื้อ AP ใหม่เดินสายใหม่แล้ว อาจจะทำให้ Wi-Fi แย่ลงกว่าเดิม
สมมุติเรามี omni AP 20 ตัวติดในพื้นที่โล่ง ถ้าเราใช้ channel width 40MHz เราจะเหลือ non-overlapping channel แค่ 12 ช่อง ฉะนั้นมันจะต้องมี AP อย่างน้อย 8 ตัวที่ใช้ channel ซ้ำกันทำให้เกิด co-channel interference (CCI)
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาควบคู่กับการทำ capacity planning คือ channel reuse planning หรือการใช้ channel เดิมซ้ำเพื่อคุมไม่ให้เกิด channel interference แต่การทำ channel reuse planning เราต้องใช้เครื่องมืออย่าง Ekahau ในการ survey และ plot coverage heatmap ของ AP แต่ละตัว
ผมมีเคสลูกค้าที่มีปัญหาเรื่อง capacity มาพักใหญ่ ๆ ทาง vendor เข้ามาสำรวจแล้ววิเคราะห์ว่าเป็นปัญหา capacity ไม่พอ แนะนำให้ติด AP เพิ่มอีกเกือบ 50% ทั้ง ๆ ที่หน้างานมี AP เยอะมากอยู่แล้ว ผมมีโอกาสเข้ามาช่วยวิเคราะห์ปัญหา หลังจาก survey เก็บข้อมูลเสร็จ ผมแนะนำลูกค้าไม่ต้องเพิ่ม AP แต่ให้ลด channel width ลงเหลือ 20MHz ลด Tx Power ลง และใช้ channel ให้ครบทั้ง 25 ช่อง
หลังจากการแก้ไข ลคแจ้งว่า Wi-Fi เร็วขึ้น เสถียรขึ้น ยังมีปัญหาอยู่บ้างแต่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด พอผมได้รับ feedback ยอมรับว่าใจฟู เพราะ requirement ของลคสูงมาก แต่อย่างน้อยเราก็มาถูกทางแล้ว
.
หากท่านกำลังมีปัญหา Wi-Fi หรือหา partner ที่ดูแลระบบ Wi-Fi ทาง SIAM Wireless มีบริการ design + analyze + optimize ครบวงจร สามารถปรึกษาได้ครับ