RRM: ดาบสองคม

Radio Resource Management หรือ RRM เป็นฟีเจอร์บน controller ที่ใช้จัดการ radio ของ AP เช่น Channel, Width, Tx Power รวมถึงการทำ load balancing ฯลฯ (บาง vendor จะใช้ชื่ออื่นเช่น Aruba เรียกว่า ARM หรือ Adaptive Radio Management) ทำงานโดยใช้ algorithm ของ controller เลือกค่าที่เหมาะสมโดยอิงจากสภาพแวดล้อม ซึ่งแต่ละ vendor จะมี RRM logic ที่แตกต่างกัน และปัจจุบันหลายค่ายได้เอา AI มาช่วยในการตัดสินใจ
ประโยชน์ของ RRM คือช่วยเราประหยัดเวลา เราไม่ต้อง manual ตั้งค่า radio AP เป็นตัว ๆ และช่วยให้ AP ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ เช่นเปลี่ยน channel หนีช่องที่เพื่อนบ้านใช้งานหนัก ๆ หรือปรับสัญญาณให้แรงขึ้นหรือลดลงตามการใช้งานโดยตัว controller จะเป็นตัวตัดสินใจ ซึ่งปกติ vendor จะ enable “Default” RRM มาให้บน controller อยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือ RRM ของแต่ละแบรนด์ตัดสินใจไม่เหมือนกัน ฉลาดไม่เท่ากัน และ "Default" อาจจะไม่เหมาะกับทุกสภาพแวดล้อม ทุก ๆ วันนี้ ผมก็ยังเจอปัญหา Wi-Fi ที่เกิดจากการใช้ “Default” RRM บ่อยมาก เช่นเลือกใช้ channel width 80MHz ไม่ใช้ DFS channel ทั้ง ๆ ที่มี AP หลายสิบตัวในพื้นที่จน interference สูงปรี๊ด สัญญาณตีกันยับ Wi-Fi อึดยิ่งกว่าสล็อตคลาน
อีกเคสที่เจอบ่อยคือ AP ปล่อยสัญญาณแรงเต็ม max (23dBm) ซึ่งนอกจากเพิ่ม channel interference แล้วยังทำให้เกิด client/AP power mismatch (client ได้ยิน AP แต่ส่งกลับไม่ถึง)
นอกจากปัญหาสัญญาณแรงเกิน ผมเคยเจอ AP ปล่อยสัญญาณอ่อนเกินที่ 1-2 dBm เพราะ RRM มันลด Tx เพื่อชดเชยกับ interference ที่สูง และอีกเคสคือ client ส่วนใหญ่เลือกเกาะ 2.4GHz เพราะ RRM ปรับ 2.4GHz ดังเท่า 5GHz และยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลจากการปล่อยให้ RRM จัดการ radio แบบตามใจมัน
แต่ก่อนที่ท่านจะ remote เข้าไปปิด RRM แล้วตั้งค่า AP เป็นตัว ๆ RRM เป็นฟีเจอร์สำคัญที่ขาดไม่ได้โดยเฉพาะในองค์กรใหญ่ที่มี AP หลายร้อยหลายพันตัว ยังไงเราก็ต้องพึ่ง RRM เราแค่ต้องเข้าใจและรู้ทันการทำงานของมัน ชีวิตเราก็จะสงบสุข
ดังนั้นสิ่งที่ Wi-Fi Engineer ต้องรู้เกี่ยวกับ RRM
- เปิดให้ใช้ channel อะไรบ้าง
- เปิดให้ใช้ channel width เท่าไหร่
- Max / Min Tx Power เท่าไหร่ในแต่ละย่านความถี่
และที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจพื้นที่ใช้งาน ซึ่งแต่ละพื้นที่อาจจะใช้งานแตกต่างกัน จำนวน AP และ client ไม่เท่ากัน และ bandwidth requirement ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งควรใช้ RRM แยก แต่ถ้าเราใช้ RRM เดียวครอบจักรวาล RRM มันก็ทำงานตาม logic ที่ถูกโปรแกรมมา ซึ่งอาจจะเหมาะกับพื้นที่นึง แต่ใช้ไม่ได้กับอีกพื้นที่นึง ฉะนั้นเราควรตั้งค่า RRM ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่
ผมมอง RRM เหมือนยักษ์ในตะเกียงวิเศษ เราต้องบอกมันว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ในออฟฟิสทำแบบนี้ ในโกดังนั้นทำแบบนั้น ถ้าใช้อย่างถูกต้องมันช่วยประหยัดเวลาเรามาก แต่ถ้าเราปล่อยให้มันตัดสินใจเองโดยใช้ค่า “Default” เดียวครอบทั้งโรงงาน เราอาจจะเจอปัญหา Wi-Fi ที่แก้ไม่จบไม่สิ้น
ปล. ความเห็นในบทความนี้เขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงจากงาน audit แก้ปัญหาให้ลูกค้าองค์กร และแน่นอนว่ายังมี RRM ของ vendor อีกหลายเจ้าที่ผมยังไม่เคยลอง ซึ่งอาจจะมีตัวที่โคตรเทพที่ผมไม่รู้ หากใครมีประสบการณ์ดี ๆ กับการใช้ controller แบรนด์ไหนมาแชร์กันได้นะครับ