มีหลายท่านถามผมเรื่อง Wi-Fi Design ปกติผมทำอะไรบ้าง เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ครับ

ตอนผมเริ่มจับงาน infra สิบกว่าปีที่แล้ว ผมทำงานให้กับบริษัทที่ขาย IT Solutions ให้โรงแรม หน้าที่ผมตอนนั้นคือ design LAN/WLAN ให้ลูกค้า โดยใช้วิธีการง่ายๆเลย คือไปหน้างาน มองรอบๆ แล้วจิ้มจุดบน floor plan เรียกว่าใช้ประสบการณ์บวก sense ล้วนๆ แต่มันก็ไม่ค่อยแม่นหรอกครับ

อีกอย่าง สิบปีที่แล้วก็ไม่ได้มีเครื่องมือเทส Wi-Fi ดีๆ ผมมีแค่ inSSIDer ไว้เช็คระดับสัญญาณ แต่ปัญหาคือกว่าผมจะรู้ว่าสัญญาณตรงไหนอ่อนก็ต้องรอหลังติดตั้งเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นมาบอกให้โรงแรมเดินสายใหม่ ติด AP เพิ่ม ส่วนใหญ่จะจบไม่ค่อยสวยครับ

มาวันนี้ ฉลาดขึ้นอีกหน่อย ผมใช้ Wi-Fi Design Best Practice ซึ่งหลักๆมีอยู่ 3 ขั้นตอนครับ

ขั้นตอนแรกคือการทำ Predictive Design หรือการจำลองสัญญาณ Wi-Fi โดยใช้ software ขั้นตอนนี้เราต้องมีข้อมูลของตัวอาคารเช่น ขนาด ความสูง รวมถึงวัสดุก่อสร้างเช่นกำแพง ผนัง ห้อง คอก และ เราจะคำนวณจำนวน AP และตำแหน่งที่ติดตามสภาพแวดล้อม เช่นกำแพงคอนกรีตจะบังสัญญาณ Wi-Fi ได้มากกว่าผนังเบา เราถึงรู้ว่าควรติด AP ตรงไหน เลี่ยงตรงไหน และตัว Software เองอย่าง Ekahau จะมี profile ของ AP และ antenna อยู่ เราสามารถปรับตำแหน่งติดตั้ง มุมและองศาที่ยึด เปลี่ยน Tx Power หรือเลือก channel ในตัว software ได้เลย

พอเรามี predictive design ขั้นตอนต่อไปคือทำ Pre Deployment Validation Survey โดยใช้ AP และ antenna ตัวจริงรุ่นจริงที่เราเลือกใช้ตามดีไซน์ ใส่ค่าคอนฟิกที่จำลองไว้ เอาไปวางเทสตามตำแหน่งจริง แล้วเดินวัดสัญญาณ จากนั้นเราจะเอาค่าที่ได้มาเทียบกับ predictive design ถ้าผลที่ได้ใกล้เคียงกัน เรามั่นใจได้ว่า design จำลอง กับหลังติดตั้งจริงจะไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าค่าสัญญาณออกมาต่างกันเยอะ เราก็ต้องปรับค่าใน simulation ให้ตรงกับค่าที่เราเก็บได้หน้างาน แล้วค่อยปรับวางตำแหน่ง AP แล้วเทสใหม่

ขั้นตอนนี้เราจะใช้ขาตั้งและตัวยึด AP ฉะนั้นจะดูเหมือนเราเอา AP ไปติดไว้บนท่อนไม้ เลยเป็นที่มาของชื่อที่เราเรียกกันในกลุ่มว่า AP-on-a-Stick หรือ APoS

หลังจากที่ทางลูกค้าติดตั้ง AP เสร็จ เราก็เดิน survey หน้างานอีกรอบ เราจะเรียกว่า passive survey หรือเรียกรวมๆว่าทำ Wi-Fi heatmap เป็นการเช็ครอบสุดท้าย หรือภาษาทางการคือ Post-Deployment Validation Survey ก็เป็นอันจบขั้นตอน Wi-Fi Design ทั้งหมด