ทำไมการติด AP เยอะเกินไปสร้างปัญหามากกว่าผลดี

ต้นเหตุของปัญหา Wi-Fi จุกจิกที่หลายคนมองข้ามกันคือ ติด AP เยอะเกินไป

เดือนที่ผ่านผมมีโอกาสไปช่วยแก้ไขปัญหา Wi-Fi ให้บริษัทใหญ่ข้ามชาติ 3 แห่ง มี 2 บริษัทที่ใช้ Cisco ส่วนอีกที่ใช้ Aruba ซึ่งทั้ง 3 บริษัทมีสิ่งที่เหมือนกันคือใช้ AP เยอะมาก

หลายท่านอาจจะติดกับความเชื่อว่ามี AP เยอะน่าจะเป็นเรื่องดี เหลือดีกว่าขาด แต่จริงๆแล้วมี AP ยิ่งเยอะยิ่งปวดหัว มันยากตรงทำยังไงให้ AP ทุกตัวทำงานด้วยกันอย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่ตีกันเอง (และไม่ตีกับเพื่อนบ้าน)

ลูกค้าที่มองหา Wi-Fi solution โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ๆมีกำลังซื้อสูง กี่ตัวก็เปย์ได้ ขอแค่อย่าให้มีจุดบอด

พอ Designer ได้โจทย์นี้มาก็กลัวถ้าติด AP น้อยไปสัญญาณจะไม่ครอบคลุมเลยเสนอเผื่อ แต่ที่ผมเจอประจำคือเผื่อไปเยอะมากๆๆๆ

ผมเคยไปดู Wi-Fi ให้ลูกค้ารายหนึ่ง พี่เค้าแจ้งว่า Wi-Fi สัญญาณเต็ม แต่ช้า บางจุดมีปัญหาติดๆหลุดๆ ออฟฟิสเป็นพื้นที่โล่งๆประมาณ 1200ตรม ติด AP 9 ตัว หรือเฉลี่ยแล้ว AP 1 ตัวทุกๆ 130 ตรม พอวัด coverage ของ AP แต่ละตัวมันคลุมพื้นที่กว่า 900 ตรม หมายความว่า AP ทุกตัวมองเห็นกันและกัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของ channel interference

ตาม best practice แล้ว แม้ว่าเรามี AP น้อยหรือมาก เราต้องจัดช่องสัญญาณและ Tx Power ให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา interference, sticky client, roaming และปัญหา RF อื่นๆ แต่มันจะเริ่มซับซ้อนพอเรามี AP เยอะเพราะเราจะเริ่มถูกจำกัดทางเลือกโดยจำนวนช่องสัญญาณ

โอเค 2.4GHz เราทำอะไรมากไม่ได้เพราะมีให้ใช้แค่ 3 ช่อง ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้ลคปิด 2.4GHz radio เป็นตัวๆเพื่อลดจำนวน BSSID ในอากาศ แต่สำหรับ 5GHz ที่มี channel ให้ใช้ถึง 25 ช่อง (รวม Ch. 144 ที่ไม่นิยมใช้กัน) เราไม่ควรมีปัญหา channel interference แล้ว แต่ที่เจอคือลูกค้าใช้ channel width ขนาด 80MHz บ้าง หรือเลือกใช้แค่บางช่องสัญญาณบ้าง เช่นไม่ใช้ UNII2 กับ UNII2 Extended (จาก 25 ช่องใช้จริงแค่ 9 ช่อง) พอถามเหตุผลจาก IT ส่วนใหญ่ก็ได้คำตอบ classic คือ controller เป็นตัวจัดการ

Wi-Fi Troubleshooting เป็นเรื่องที่ยากเพราะเรามองไม่เห็น RF และมีปัจจัยภายนอกมากมายที่กระทบกับ Wi-Fi บางทีเรานั่งอยู่กับที่สัญญาณยังเหวี่ยงขึ้นลงได้เลยใช่ไหมครับ ข่าวร้ายคือมันจะยากขึ้นเป็นทวีคูณถ้าจำนวน AP และ client เพิ่มขึ้น (อันหลังเป็นเรื่องของ capacity) เพราะตัวแปรเยอะขึ้น

ถ้าอยากได้ High Performance Wi-Fi เราต้องวัดสัญญาณ ทำ heatmap (ทำ APoS validation survey ถ้ายังไม่ได้ติดตั้ง) แล้วเช็คว่าสัญญาณของ AP แต่ละตัวครอบคลุมพื้นที่ส่วนไหน และกวนกับ AP ตัวไหนบ้าง จากนั้นค่อยเลือกช่องสัญญาณที่เหมาะสมและปรับจูนสัญญาณให้อยู่ในพื้นที่ๆต้องการ

อีกเรื่องคือผมแนะนำอย่าไปฝากชีวิตกับ Controller.หลายปีก่อน ตอนผมดูแล Wi-Fi โรงแรม ผมตั้ง AP ให้มัน auto-channel ไปช่องสัญญาณที่มีคลื่นรบกวนน้อย แต่ดันไปเลือกใช้ channel 13 ด้วย วันดีคืนดีแขก VIP แจ้งมาว่าไม่มีสัญญาณ Wi-Fi ในห้อง ทั้งๆที่ AP ไฟติดอยู่ ถึงรู้ว่า laptop บ้านเค้าไม่รองรับ channel 13 เลยโดนโรงแรม complain หูชา

Cisco RRM (Radio Resource Management) หรือ Aruba ARM (Adaptive Radio Management) มันเก่งแต่ขึ้นอยู่กับค่า setting ที่เราป้อน บางครั้งเราป้อนค่าผิดมันก็ใช้ค่าผิด หรือที่เราเรียกกันว่า garbage-in-garbage-out.

สรุปคือ

  1. AP ยิ่งเยอะ ยิ่งปวดหัว
  2. วัดสัญญาณ ทำ heatmap ทุกครั้งก่อนติดตั้งจริง
  3. อย่าหวังว่า controller จะแก้ปัญหาให้เราได้ตลอด.หากท่านสนใจให้เราช่วยดีไซน์ ติดตั้ง หรือแก้ไขปัญหา Wi-Fi ให้องค์กรท่าน ปรึกษาเราได้ครับ

Subscribe to Wi-Fi Resource Center by SIAM Wireless

เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารและบทความใหม่ๆ มาติดตามกันนะครับ
[email protected]
Subscribe